คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ มีเท่าไหร่ ?  (รายละเอียดทั้งหมด)

คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ มีเท่าไหร่ ? (รายละเอียดทั้งหมด)

คาเฟอีนอยู่ในเมล็ดกาแฟมากแค่ไหน? คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ

คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ มีเยอะแค่ไหน ? วันนี้เรามีคำตอบ

คาเฟอีนเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลก และพวกเราหลายคนยืนยันที่จะใช้เมล็ดกาแฟทั้งเมล็ดเท่านั้นในการเพิ่มคาเฟอีนในแต่ละวัน แต่คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟมีเท่าไร ?

โดยเฉลี่ยแล้วเมล็ดกาแฟอาราบิก้าหนึ่งเมล็ดมีคาเฟอีน 1.9 มิลลิกรัม (คาเฟอีน 1.2 – 1.5 กรัมต่อ 100 กรัม) เมล็ดกาแฟโรบัสต้าหนึ่งเมล็ดมีคาเฟอีน 2.9 มิลลิกรัม (คาเฟอีน 2.2 – 2.7 กรัมต่อ 100 กรัม)
กาแฟกรองอาราบิก้า 250 มล. (8.5 ออนซ์) มีคาเฟอีน 100 มิลลิกรัม
เหตุใดระดับคาเฟอีนจึงแตกต่างกันมาก แล้ว decaf ล่ะ มันมีคาเฟอีนไหม ?

คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ

คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ นั้นมีอยู่ทั่วทั้งต้นกาแฟ โดยมีความเข้มข้นสูงสุดที่พบในเมล็ดกาแฟที่อยู่ภายในผลเชอร์รี่กาแฟ แม้จะมี ต้นกาแฟ 100 สายพันธุ์ แต่มีเพียง 2 สายพันธุ์คิดเป็นกว่าร้อยละ 98 ของกาแฟที่ปลูกทั่วโลก ทั้งสองสายพันธุ์นี้รู้จักกันในชื่อ Coffea arabica และ Coffea canephora หรือที่รู้จักกันดีในชื่ออาราบิก้าและโรบัสต้า ตามลำดับ

แม้ว่าทั้ง 2 สายพันธุ์นี้จะเป็นเมล็ดกาแฟยอดนิยมบนโลก ที่มีความแตกต่างกัน หนึ่งในนั้นก็คือปริมาณคาเฟอีนที่มีอยู่ในเมล็ด
เมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่ยังไม่คั่ว 1 เมล็ดมีคาเฟอีน 1.9 มิลลิกรัม โดยน้ำหนักแห้ง เมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีคาเฟอีนอยู่ระหว่าง 1.2 – 1.5 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่ามีคาเฟอีน 1.2 – 1.5 กรัมต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
เมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ยังไม่คั่ว 1 เมล็ดมีคาเฟอีน 2.9 มิลลิกรัม โดยน้ำหนักแห้ง เมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะมีคาเฟอีนอยู่ระหว่าง 2.2 – 2.7 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่ามีคาเฟอีน 2.2 – 2.7 กรัมต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)

  คาเฟอีนต่อเมล็ดกาแฟ คาเฟอีนต่อ 100 กรัม คาเฟอีนต่อออนซ์
อาราบิก้า 1.9 มก. 1.2 – 1.5 ก. 340 – 430 มก.
โรบัสต้า 2.9 มก. 2.2 – 2.7 ก. 630 – 770 มก.

ดังนั้น ทำไมกาแฟถึงมีคาเฟอีน ? ต้นกาแฟมีคาเฟอีนเพื่อป้องกันตัวเอง โดยเป็นพิษต่อแมลงศัตรูพืชส่วนใหญ่ ดังนั้นคาเฟอีนจึงทำหน้าที่เป็นยาฆ่าแมลงตามธรรมชาติ ต้นอาราบิก้าซึ่งมีคาเฟอีนประมาณครึ่งหนึ่งของโรบัสต้าบนที่สูง จะต้องเติบโตในระดับความสูงที่สูงขึ้นซึ่งมีศัตรูพืชอาศัยอยู่น้อยกว่า ส่วนต้นโรบัสต้าสามารถอยู่ได้แม้ในระดับน้ำทะเล เพราะในต้นนั้นมีคาเฟอีนสูงมาก

คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟ

decaf มีคาเฟอีนหรือไม่ ?

เมล็ดกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน มีคาเฟอีนในระดับหนึ่ง นี่คือการเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีคาเฟอีน

เครื่องดื่ม คาเฟอีนต่อการเสิร์ฟ คาเฟอีนต่อ 100 มล. คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว
เอสเพรสโซ 45 มก. (25 มล.) 180 มก. 53 มก.
กาแฟแบบกรอง 100 มก. (250 มล.) 40 มก. 12 มก.
โคคาโคล่า 33 มก. (330 มล.) 10 มก. 3 มก.
ดีแคฟ (decaf) 6 มก. (250 มล.) 2.4 มก. 0.7 มก.

อย่างที่เห็นต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อดื่มกาแฟแบบไม่มีคาเฟอีน แต่เนื่องจากการดื่มหลายแก้วรวมกันอาจทำให้มีผลในการกระตุ้นของคาเฟอีนได้ แต่ละประเทศจึงมีกฎหมายของตนเองที่เกี่ยวกับระดับคาเฟอีนขั้นต่ำที่กาแฟทั้งเมล็ดอาจมีอยู่เพื่อให้ได้รับการพิจารณาว่าไม่มีคาเฟอีน

ในสหรัฐอเมริกา กาแฟต้องกำจัดคาเฟอีนออกไป 97 เปอร์เซ็นต์จึงจะถือว่าไม่มีคาเฟอีน ในแคนาดากฎหมายระบุว่ากาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนจะต้องปราศจากคาเฟอีน 99.7 เปอร์เซ็นต์ และภายใต้กฎหมายของยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนจะต้องปราศจากคาเฟอีนถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์

สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ปราศจากคาเฟอีน 97% ปราศจากคาเฟอีน 99.7% ปราศจากคาเฟอีน 99.9% ปราศจากคาเฟอีน 99.9% ปราศจากคาเฟอีน 99.9%

ปัจจุบันมี 5 วิธีที่แตกต่างกันในการสกัดคาเฟอีน ซึ่งได้แก่

  • กระบวนการตัวทำละลายอินทรีย์ (โดยตรง)
  • กระบวนการตัวทำละลายอินทรีย์ (ทางอ้อม)
  • กระบวนการสวิสวอเตอร์ (Swiss Water)
  • กระบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์
  • กระบวนการไตรกลีเซอไรด์

สำหรับกระบวนการกำจัดคาเฟอีนจะเกิดขึ้นก่อนการคั่ว เมื่อเมล็ดกาแกอยู่ในสภาพดิบและเป็นสีเขียว

คาเฟอีนในกาแฟหนึ่งแก้วมีเท่าไร ?

นี่คือตารางแสดงปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนยอดนิยม :

เครื่องดื่ม คาเฟอีนต่อการเสิร์ฟ คาเฟอีนต่อ 100 มล. คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว
เอสเพรสโซ 45 มก. (25มล.) 180 มก. 53 มก.
กาแฟตุรกี 63 มก. (75มล.) 84 มก. 25 มก.
กาแฟกรอง 100 มก. (250มล.) 40 มก. 12 มก.
กระทิงแดง 80 มก. (250มล.) 32 มก. 9.5 มก.
กาแฟสำเร็จรูป 65 มก. (250มล.) 26 มก. 7.7 มก.
โคคาโคล่า 33 มก. (330มล.) 10 มก. 3 มก.
ดีแคฟ 6 มก. (250มล.) 2.4 มก. 0.7 มก.

ประมาณร้อยละ 90 ของปริมาณคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟถูกสกัดออกมาภายในนาทีแรกของการต้มหรือการสกัด ในการชงกาแฟกรองขนาด 250 มล. (8.5 ออนซ์) จะต้องใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าประมาณ 100 เมล็ด ในการเสิร์ฟปริมาณ 250 มล. ที่ประกอบด้วยเมล็ดกาแฟ 100 เมล็ด เพื่อให้ได้คาเฟอีน 100 มก.

ระดับคาเฟอีนที่สกัดออกมาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิของน้ำ, วิธีชง, เวลาชง และระดับการบด เป็นต้น น้ำร้อนสามารถสกัดคาเฟอีนได้ดีกว่าน้ำเย็น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมกาแฟชงเย็นมีคาเฟอีนน้อย

เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนหรือคั่วเข้ม มีคาเฟอีนมากกว่ากัน ?

กระบวนการคั่วกาแฟทำให้เมล็ดกาแฟมีคาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดกาแฟดิบเล็กน้อย หนึ่งในคำถามที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือ กาแฟคั่วเข้มมีคาเฟอีนมากกว่าคั่วอ่อนหรือไม่ ?

เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนมีปริมาณคาเฟอีนเท่ากันกับเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม เนื่องจากปริมาณคาเฟอีนค่อนข้างคงที่ตลอดทุกขั้นตอนของกระบวนการคั่ว คาเฟอีนจะคงตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 235°C (455°F) และเครื่องคั่วกาแฟไม่กี่เครื่องจะคั่วกาแฟจะไม่ใช้อุณหภูมิที่สูงกว่านี้เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้

อย่างไรก็ตามกาแฟคั่วเข้มหนึ่งแก้ว อาจจะมีคาเฟอีนมากกว่าคั่วอ่อนหนึ่งถ้วย เพราะอะไร ? ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความหนาแน่นของเมล็ดกาแฟ เพราะเมื่อมีการกาแฟคั่วให้เข้มขึ้นเมล็ดกาแฟจะสูญเสียมวล แต่ปริมาณคาเฟอีนยังคงเท่าเดิม ไม่ว่าคุณจะวัดเมล็ดกาแฟด้วยน้ำหนักโดยใช้เครื่องชั่งหรือปริมาตรโดยใช้ที่ตักผลลัพธ์จะเหมือนกัน หากคุณชั่งน้ำหนักเมล็ดกาแฟต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้มมากขึ้นเพื่อให้น้ำหนักได้ เนื่องจากเมล็ดกาแฟสีเข้มจะมีขนาดเล็กกว่า ด้วยเหตุผลเดียวกันหากคุณตวงเมล็ดกาแฟตามปริมาตรโดยใช้ที่ตักก็จะต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้มมากขึ้นเพื่อเติมให้เต็มที่ตัก

ในทั้งสองกรณีต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้มมากกว่าเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่ขนาดใหญ่กว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าเมล็ดกาแฟทั้ง 2 ชนิดมีคาเฟอีนในปริมาณที่เท่ากัน หมายความว่าเมล็ดกาแฟคั่วเข้มในปริมาณที่มากขึ้นทำให้ได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าจะสามารถใช้เมล็ดกาแฟน้อยลงโดยใช้กาแฟคั่วเข้มสำหรับปริมาณคาเฟอีนที่ต้องการแต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ข้อสงสัยเกี่ยวกับคาเฟอีนและความขม

เหตุผลหลักที่ผู้คนคิดว่ากาแฟคั่วเข้มมีคาเฟอีนมากกว่า เพราะความขมและกลิ่นคั่วที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับคาเฟอีน และในเป็นความจริงที่คาเฟอีนมีรสขมมากจึงป็นเหตุผลที่มักเข้าใจว่าคือ สาเหตุที่กาแฟขม อย่างไรก็ตาม คาเฟอีนมีความขมเพียงเล็กน้อยในกาแฟอาราบิก้าเท่านั้น สาเหตุที่ว่ากาแฟคั่วเข้มรสชาติขมมากเป็นเพราะปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างการคั่วเป็นเวลานาน ยิ่งคั่วกาแฟนานเท่าไร กรดบางชนิดก็จะยิ่งเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่มีรสขมมากขึ้นเท่านั้น

จะสังเกตได้ว่ากาแฟคั่วเข้มนั้น (เกือบ) เป็นสีดำ นั่นเป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วจะถูกคั่วเป็นเวลานานป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีรสที่รุนแรง มีกลิ่นคั่ว กลิ่นขี้เถ้า และขมขื่น จึงเป็นคำที่เข้าใจผิดว่ากาแฟทุกชนิดมีรสขม ซึ่งน่าเสียดายเพราะกาแฟคุณภาพดีนั้นไม่มีรสขมอย่างแน่นอน

กาแฟคาเฟอีนต่ำโดยธรรมชาติ

กาแฟชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ลอรีน่า (Laurina )มีคาเฟอีนต่ำตามธรรมชาติ และหลายคนอาจไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ลอรีน่าถูกค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 18 เป็นสายพันธุ์ของอาราบิก้า โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของอาราบิก้าเบอร์บอน สายพันธุ์ลอรีน่ามีปริมาณคาเฟอีนเพียงเล็กน้อย 0.3 – 0.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เนื่องจากอาราบิก้ามีคาเฟอีน 1.2 – 1.5 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงลอริน่าอาจมีคาเฟอีนเพียง 1 ใน 5 ของอาราบิก้า และลอรีน่ายังเป็นที่รู้จักกันในนาม Bourbon pointu (ภาษาฝรั่งเศส ‘pointed’) ตามรูปทรงแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งเมล็ดกาแฟและต้นเบอร์บอน ที่มีต้นกำเนิดบนเกาะเรอูนียงในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเดิมเรียกว่า “เบอร์บอน”

เนื่องจากพืชที่มีคาเฟอีนน้อยมาก จะมีความไวต่อโรคสูงทั้งยังให้ผลผลิตต่ำ ปัจจัยทั้ง 2 นี้จึงกือบจะนำไปสู่การสูญพันธุ์ และน่าเสียดายที่ยังคงขาดตลาดอยู่ซึ่งหมายความว่าจึงมีราคาที่สูงมาก นักคั่วกาแฟหลายคนจึงยกให้
ลอรีน่ามากกว่าแบบดีแคฟ เนื่องจากผลเสียที่เกิดจากกระบวนการลดคาเฟอีนมีผลต่อรสชาติของกาแฟนั่นเอง

 

Credit : Source link

ใส่ความเห็น