กาแฟที่มีคาเฟอีนน้อย คือกาแฟชนิดใด ? มีจริงหรือไม่ ?
หากคุณเป็นคนที่มีความไวต่อคาเฟอีน ปริมาณกาแฟที่แตกต่างกันอาจทำให้คุณสงสัยว่า กาแฟชนิดใดมีปริมาณคาเฟอีนน้อยที่สุด?
กาแฟที่มีคาเฟอีนน้อยที่สุดคือกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) ซึ่งปราศจากคาเฟอีนอย่างน้อย 97 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกาแฟที่มีคาเฟอีนปกติ เครื่องดื่มกาแฟที่มีปริมาณคาเฟอีนต่ำที่สุดคือเอสเพรสโซ่ 1 แก้ว
เอสเพรสโซ่ 1 แก้วมีคาเฟอีน 45 มก. ในขณะที่กาแฟดริปฟิลเตอร์ 1 ถ้วยมี 95 มก.
ฟังดูง่ายใช่ไหม ? จริง ๆ แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่กำหนดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟของคุณ
กาแฟที่มีคาเฟอีนน้อย ที่สุด !
ส่วนใหญ่นิยมเชื่อมโยงกาแฟเอสเพรสโซกับคาเฟอีนในระดับสูงเนื่องจากความเข้มข้นและความขม ดังนั้นจึงอาจเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสําหรับคุณที่พบว่าเอสเพรสโซมีคาเฟอีนน้อยที่สุดในบรรดาเครื่องดื่มกาแฟประเภทต่าง ๆ เพราะเหตุผลเดียวที่เอสเพรสโซมีปริมาณคาเฟอีนน้อยที่สุดเป็นเพราะมีปริมาณน้อย เอสเพรสโซช็อตทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 25 มล. (0.85 ออนซ์)
สำหรับกาแฟกรองทั่วไปขนาด 250 มล. (8.5 ออนซ์) คุณต้องใช้กาแฟบดประมาณ 15 ก. (0.53 ออนซ์) สำหรับเอสเพรสโซ่ 1 แก้ว ตัวเลขนั้นจะอยู่ที่ 8 กรัม (0.28 ออนซ์) กาแฟน้อยลง คาเฟอีนน้อยลง มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะเปรียบเทียบเครื่องดื่มขนาด 25 มล. กับเครื่องดื่มที่มีขนาดมากกว่า 10 เท่า วิธีที่ถูกต้องคือการเปรียบเทียบเครื่องดื่มทั้งสองในแง่ของความเข้มข้นของคาเฟอีนตามปริมาตร
เครื่องดื่ม | คาเฟอีนต่อมิลลิลิตร | คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว |
---|---|---|
เอสเพรสโซ | 1.8 มก. | 53 มก. |
กาแฟแบบกรอง | 0.4 มก. | 12 มก. |
เมื่อดูจากตาราง เราจะเห็นว่าเอสเพรสโซมีความเข้มข้นของคาเฟอีนสูงกว่ากาแฟกรองถึง 4.5 เท่า เพื่อให้ได้ปริมาณคาเฟอีนเท่ากับกาแฟกรอง 250 มล. คุณต้องใช้เอสเพรสโซ่เพียง 55 มล. เท่านั้น และถ้าคุณดื่มกาแฟเอสเพรสโซ 250 มล. นั่นหมายความว่าคุณจะได้รับคาเฟอีนมากถึง 450 มก. ซึ่งมากกว่าปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวัน
สรุปแล้วได้อะไร ?
จากมุมมองของการเสิร์ฟเครื่องดื่ม เนื่องจากเอสเพรสโซเสิร์ฟในปริมาณน้อยจึงมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟกรอง แต่จากมุมมองด้านปริมาณเอสเพรสโซมีคาเฟอีนมากกว่ากาแฟกรองเนื่องจากมีความเข้มข้นสูงกว่า
คาเฟอีนในกาแฟหนึ่งแก้วมีเท่าไร ?
ตารางเปรียบเทียบปริมาณคาเฟอีนโดยทั่วไปของเครื่องดื่มกาแฟที่ได้รับความนิยมสูงสุด ควบคู่ไปกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนยอดนิยมอื่น ๆ
เครื่องดื่ม | คาเฟอีนต่อการเสิร์ฟ | คาเฟอีนต่อ 100 มล. | คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว |
---|---|---|---|
เอสเพรสโซ | 45 มก. (25 มล.) | 180 มก. | 53 มก. |
กาแฟตุรกี | 63 มก. (75 มล.) | 84 มก. | 25 มก. |
กาแฟกรอง | 100 มก. (250 มล.) | 40 มก. | 12 มก. |
กระทิงแดง | 80 มก. (250 มล.) | 32 มก. | 9.5 มก. |
กาแฟสำเร็จรูป | 65 มก. (250 มล.) | 26 มก. | 7.7 มก. |
โคคาโคลา | 33 มก. (330 มล.) | 10 มก. | 3 มก. |
ดีแคฟ (กาแฟไม่มีคาเฟอีน) | 6 มก. (250 มล.) | 2.4 มก. | 0.7 มก. |
กาแฟสำเร็จรูปมีคาเฟอีนน้อยหรือไม่ ?
กาแฟสำเร็จรูป มีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟที่ทำจากเมล็ดกาแฟทั้งเมล็ด กาแฟสำเร็จรูป 250 มล. (8.5 ออนซ์) หนึ่งถ้วยมี 65 มก. และกาแฟทั้งเมล็ด 250 มล. มี 100 มก.
เครื่องดื่ม | คาเฟอีนต่อการเสิร์ฟ 250 มล. (8.5 ออนซ์) | คาเฟอีนต่อ 100 มล. | คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว |
---|---|---|---|
กาแฟสำเร็จรูป | 65 มก. | 26 มก. | 7.7 มก. |
วิธีทำให้กาแฟสำเร็จรูปเป็นกาแฟเข้มข้นหมายความว่าต้องใช้เมล็ดกาแฟน้อยลง จากการทำกาแฟเต็มแก้ว ซึ่งกระบวนการผลิตกาแฟสำเร็จรูปนั้นมีความซับช้อนมากกว่า 9 ขั้นตอน
คาเฟอีนในกาแฟ decaf มีปริมาณเท่าไร?
โดยเฉลี่ยแล้วกาแฟไม่มีคาเฟอีน 250 มล. (8.5 ออนซ์) หนึ่งถ้วยมีคาเฟอีน 6 มก. ในขณะที่กาแฟที่มีคาเฟอีนปกติในปริมาณเท่ากันจะมีคาเฟอีน 100 มก. ตามกฎหมายแล้ว กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนจะต้องปราศจากคาเฟอีน 97 เปอร์เซ็นต์ (ในสหรัฐอเมริกา) และ 99.9 เปอร์เซ็นต์ในสหภาพยุโรป
เครื่องดื่ม | คาเฟอีนต่อเสิร์ฟ 250 มล. (8.5 ออนซ์) | คาเฟอีนต่อ 100 มล. | คาเฟอีนต่อออนซ์ของเหลว |
---|---|---|---|
เมล็ดกาแฟดีแคฟ | 6 มก. | 2.4 มก. | 0.7 มก. |
กาแฟดีแคฟสำเร็จรูป | 2.7 มก. | 1.08 มก. | 0.32 มก. |
หากคุณต้องการบริโภคคาเฟอีนให้น้อยที่สุด กาแฟสำเร็จรูปชนิดไม่มีคาเฟอีน นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้ให้มองหาอาราบิก้าดีแคฟที่มีราคาแพงกว่า เนื่องจากจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณครึ่งหนึ่งของกาแฟไร้คาเฟอีนที่ถูกกว่าอื่น ๆ อย่าง อาราบิก้า 100% ดีแคฟโดย Percol ที่มีราคาไม่แพงและเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าเป็นกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำที่สุด
หากคุณชอบกาแฟบด ก็ขอแนะนำอาราบิก้าออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์ กาแฟไม่มีคาเฟอีนจากเกาะสุมาตรา ไม่เพียงแต่ปราศจากคาเฟอีนถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ยังไม่มีความขมอีกด้วยแม้ว่าจะพบในกาแฟเป็นส่วนใหญ่
ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อปริมาณคาเฟอีน ?
ปัจจัยหลัก 3 ประการที่ส่งผลต่อปริมาณคาเฟอีนในกาแฟของคุณ คือ
- ปริมาณกาแฟ
- เมล็ดกาแฟหลากหลาย
- ระดับการคั่วกาแฟ
1. ปริมาณกาแฟ
จากที่เราได้เห็นแล้วว่าปริมาณกาแฟที่คุณใช้มีผลมากที่สุดต่อปริมาณคาเฟอีนโดยรวมในกาแฟของคุณ ยิ่งคุณใช้กาแฟบดมากเท่าไหร่ เครื่องดื่มก็จะยิ่งมีคาเฟอีนมากขึ้นเท่านั้น เครื่องชงกาแฟที่แตกต่างกันจึงต้องใช้อัตราส่วนกาแฟต่อน้ำที่แตกต่างกัน อัตราส่วนกาแฟต่อน้ำสูงสุดคือเอสเพรสโซ่ และที่อ่อนที่สุดคือประเภทการกรองกาแฟ หรือการดริป
มาตรฐานที่แนะนำ โดยสมาคมกาแฟพิเศษแห่งอเมริกา (SCAA) คือ ให้ใช้กาแฟ 55 กรัมต่อน้ำหนึ่งลิตร (1.94 ออนซ์ต่อ 34 ออนซ์) นี่คืออัตราส่วนที่เหมาะสำหรับทำกาแฟแบบเท (pour over) และกาแฟแบบกรองดริป สามารถใช้คำแนะนำ SCAA เป็นอัตราส่วนเริ่มต้นแล้วปรับให้เหมาะกับรสนิยมของคุณได้เลย
2. เมล็ดกาแฟหลากหลายชนิด
กาแฟกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของโลกมาจากกาแฟเพียงสองชนิด สายพันธุ์ของต้นกาแฟ คิดเป็น 60–70 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตกาแฟของโลก คือ สายพันธุ์ที่เรียกว่าอาราบิก้า ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โรบัสต้า แม้ว่ากาแฟอาราบิก้า และโรบัสต้าจะไม่แตกต่างกันมาก นอกเหนือจากความจริงที่ว่าอาราบิก้ามีรสชาติที่เหนือกว่าโรบัสต้าอย่างสูง อาราบิก้ายังมีปริมาณคาเฟอีนประมาณครึ่งหนึ่งของโรบัสต้าอีกด้วย
หากคุณต้องการลดปริมาณคาเฟอีนลง (และต้องการดื่มกาแฟที่รสชาติดียิ่งขึ้น) ลองเลือกซื้อกาแฟอาราบิก้า 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีให้เลือกทั้งแบบเมล็ดกาแฟ (ทั้งเมล็ดหรือบด) และแบบสำเร็จรูป
3. ระดับการคั่วกาแฟ
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อปริมาณคาเฟอีนก็คือความเข้มของกาแฟที่คั่ว สำหรับกาแฟที่มีคาเฟอีนน้อยให้มองหาเมล็ดกาแฟคั่วอ่อน เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน และเข้มมีระดับคาเฟอีนเกือบเท่ากัน อย่างไรก็ตามเมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะมีขนาดเล็กลงเนื่องจากการสูญเสียความชื้นที่เกิดจากการคั่วเป็นเวลานาน แม้ว่ากระบวนการคั่วจะส่งผลต่อขนาดของเมล็ดกาแฟแต่ก็ไม่มีผลต่อปริมาณคาเฟอีน เพราะเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่มีขนาดใหญ่นั้นก็มีปริมาณคาเฟอีนเท่ากันกับเมล็ดกาแฟคั่วเข้มที่มีขนาดเล็กกว่า ดังนั้น หากต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้มมากขึ้นเพื่อให้ได้น้ำหนักหรือปริมาตรที่แน่นอนในการเตรียมกาแฟ การคั่วเข้มหนึ่งถ้วยจึงมีคาเฟอีนมากกว่า
ในความเป็นจริง หากคุณตวงกาแฟด้วยช้อนหรือที่ตัก (ปริมาตร) กาแฟคั่วเข้มจะมีคาเฟอีนมากกว่าถึง 9 เปอร์เซ็นต์ และถ้าคุณตวงกาแฟโดยใช้เครื่องชั่งน้ำหนักกาแฟคั่วเข้มจะมีคาเฟอีนมากกว่า 32 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม การตวงกาแฟโดยใช้เครื่องชั่งจะช่วยให้มีสูตรชงแม่นยำและคงที่ยิ่งขึ้น
แล้วการดื่มกาแฟคาเฟอีนต่ำที่ร้านกาแฟใกล้บ้านคุณล่ะ ควรเลือกแบบไหนดี ?
กาแฟสตาร์บัคส์ชนิดใดมีคาเฟอีนน้อยที่สุด ?
เครื่องดื่มกาแฟ Starbucks ที่มีคาเฟอีนน้อยที่สุดคือ Decaf Pike’s Place เมื่อเตรียมเป็นกาแฟกรองขนาด 8 ออนซ์ (237 มล.) จะมีคาเฟอีน 15 มก. ถัดไปคือเอสเพรสโซช็อตและ Caffè Misto ขนาด 8 ออนซ์ จะมีคาเฟอีน 75 มก.
สตาร์บัคส์ยังขายกาแฟคั่วสีบลอนด์ซึ่งเป็นกาแฟคั่วอ่อนมาก หากคุณสังเกตดี ๆ คุณจะรู้ว่ากาแฟคั่วอ่อน ๆ หนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนน้อยกว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นกาแฟคั่วอ่อน แต่เครื่องดื่มจากกาแฟคั่วสีบลอนด์ก็มีคาเฟอีนในระดับที่สูงกว่าเนื่องจากมีปริมาณกาแฟบดที่มาก และเนื่องจากส่วนผสมนั้นประกอบด้วยเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่มีคาเฟอีนสูงหลากหลายสายพันธุ์
กาแฟที่มีคาเฟอีนน้อย โดยธรรมชาติ
ทางเลือกอื่น ๆ แทนการหากาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน นั้นมีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ กาแฟคาเฟอีนต่ำตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “Laurina” โดยกาแฟ “Laurina” นี้มาจากต้นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า แต่มีระดับคาเฟอีนต่ำกว่าอาราบิก้าประเภทอื่น ๆ อย่างมาก ซึ่งมีปริมาณคาเฟอีนโดยเฉลี่ยครึ่งหนึ่งของอาราบิก้า และหนึ่งในสี่ของปริมาณคาเฟอีนของโรบัสต้า เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการจึงทำให้คาเฟอีนในกาแฟหายไป และกาแฟเสียรสชาติจากธรรมชาติไปมาก จึงทำให้ได้รสชาติที่อาจมีรสไหม้ หลายคนอธิบายว่านี่เป็น ‘รสชาติดีแคฟ’
สิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับ “Laurina” คือ การมีคาเฟอีนต่ำตามธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตใด ๆ เพื่อลดปริมาณคาเฟอีนนั่นเอง จึงให้รสชาติ รสสัมผัสที่ชัดเจน ซึ่งเป็นความจริงของพันธุ์กาแฟอาราบิก้าที่มีรสชาติดีเยี่ยม “Laurina” จึงนับว่าเป็นกาแฟรสอ่อนที่มีลักษณะเฉพาะตัว ที่น่าจะเชื่อมโยงกับชา มีความหวานในระดับสูงและรสเปรี้ยวที่น่าพอใจโดยไม่มีความขม และ “Laurina” ยังมีรสชาติของผลไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ละเอียดอ่อน
Credit : Source link